รีวิว SanDisk Connect Wireless Stick แฟลชไดร์ฟแบบไร้สาย

วันก่อนตอนไปเดินเลือกซื้อของกระจุกกระจิก พร้อมๆ กับถือโอกาสสำรวจราคาสินค้าไอทีจากร้านไอทีชื่อดังๆ อย่าง IT City, Banana IT และ J.I.B. ก็ไปสะดุดตากับเจ้านี่ครับ ซึ่ง J.I.B. ขายถูกสุดเลยคือ 950 บาท สำหรับ USB Flash Drive ความจุ 16GB ซึ่งราคานี้ถือว่าแพง หากมันเป็นแค่ USB Flash Drive ธรรมดา แต่เจ้านี่ไม่ธรรมดา เพราะมันเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ เพื่อเน้นการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะครับ
USB Flash Drive นี่ไม่ใช่ของใหม่ในต่างประเทศ แต่สำหรับบ้านเรา ผมว่าน่าจะเพิ่งมีเข้ามาไม่นาน (เอ๊ะ! หรือผมไม่ทันสังเกตเอง) เป้าหมายของมันก็ชัดเจนครับ คือ การให้ USB Flash Drive ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนได้ โดยไม่ต้องไปง้อสาย USB OTG ซึ่งก็อีกนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นจะรองรับ … และการใช้สายมันก็ไม่สะดวกต่อผู้ใช้งานซักเท่าไหร่
การใช้งาน SanDisk Connect Wireless Stick นี่ไม่ยุ่งยากครับ ถ้าจะใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะ Windows, macOS หรือ Linux ก็คือเสียบแล้วใช้งานได้เลย แต่ในการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็ต้องดาวน์โหลดแอปชื่อ SanDisk Connect มาใช้ครับ ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันสำหรับ Android และ iOS (ขออภัย ไม่ลงลิงก์ให้นะครับ ไปค้นหาเอาเองก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนิ) จากนั้นก็เปิดใช้งานโดยการกดปุ่ม Power บนตัว SanDisk Connect Wireless Stick ครับ ไฟ LED สีขาวจะกระพริบเพื่อเป็นการบอกว่า พร้อมใช้งาน
ตัวแอปก็จะทำการค้นหา SanDisk Connect Wireless Stick ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในครั้งแรกมันจะถามครับว่าเราอยากจะเชื่อมต่อโดยตรง (หมายถึงตัว Wireless Stick จะทำหน้าที่เป็น WiFi Hotspot) ซึ่งเราจะได้ความเร็วแบบเต็มเหนี่ยว แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะขาดตอนไป (เพราะสมาร์ทโฟนจะเข้าใจว่าต่อกับ WiFi Hotspot อยู่ แต่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) หรือจะเชื่อมต่อโดยผ่าน Router ซึ่งแบบนี้จะต้องตั้งค่าให้ Wireless Stick เชื่อมต่อกับ Router ด้วย โดยรองรับ WPA2 สบายๆ แต่ข้อจำกัดคือ พวก WiFi Hotspot แบบที่เป็น Open แล้วต้องล็อกอินผ่านเว็บอีกที จะใช้ไม่ได้ครับ และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ได้ก็จะดรอปลงไป
ในขณะที่การใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการใช้งาน Flash Drive ทั่วๆ ไป บนสมาร์ทโฟนมันจะออกแนวต่อผ่านแอป แล้วเราจะเลือกว่าจะดึงข้อมูลอะไร ซึ่งเราเลือกได้ระหว่างพวกไฟล์เอกสาร เพลง รูปภาพ และ วิดีโอ ซึ่งเป็นไฟล์ที่พวกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต (Android/iOS) สามารถเปิดได้ เราสามารถสร้างโฟลเดอร์ อัพโหลดข้อมูลต่างๆ ลงไปได้สบายๆ ซึ่งระหว่างที่ผมยังรอ iPhone 7 ของผมอยู่นี้ ผมเลยไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าใช้งานบน iPhone แล้วจะเป็นยังไง แต่สำหรับ Android ซึ่งมีความยืดหยุ่นในด้านการเข้าถึงไฟล์มากกว่า จะสามารถอัพโหลดไฟล์ใดๆ ก็ตามภายในเครื่องไปไว้บน SanDisk Connect Wireless Stick นี้ได้
นอกจากนี้ มันยังมีฟังก์ชั่น Gallery Backup ด้วยครับ คือ คลิกเดียว รูปภาพและวิดีโอ สามารถแบ็กอัพลงไปใน SanDisk Connect Wireless Stick ได้เลย ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างสะดวกมากทีเดียว และเราก็เลือกได้ว่าจะแบ็กอัพไปที่ไหน และจะแบ็กอัพแค่รูปหรือวิดีโอ หรือทั้งสองอย่าง
แน่นอน สำหรับคนที่นิยมดูหนังฟังเพลง แต่ไม่อยากเก็บมันไว้บนสมาร์ทโฟนเพราะเปลืองเนื้อที่ ก็สามารถเก็บไว้ใน Wireless Stick นี้ได้ครับ จากนั้นก็สตรีมมิ่งผ่านตัวแอป SanDisk Connect เอา ง่ายๆ
ความจุของ SanDisk Connect Wireless Stick มีให้เลือกตั้งแต่ 16GB/32Gb/64GB/128GB/200GB เลยครับ ในประเทศไทย ผมเห็นใหญ่สุดที่มีขายตามหน้าร้านคือ 128GB แต่ก็เคยได้ยินแว่วๆ ว่า 200GB ก็มีขายนะ ถ้าใครต้องการความจุเยอะๆ แบบนั้นจริงๆ ลองไปหาดูก็ได้ครับ แต่สนนราคาขนาดนั้น ผมว่าสอย WD My Passport Wireless Pro มาดีกว่า (แต่ทนหนักหน่อย)
ถามว่ามีข้อจำกัดไหม … ขอตอบเลยว่าก็มีอยู่บ้างครับ ซึ่งผมสรุปได้ประมาณนี้ครับ
- ขนาดของไฟล์ที่เก็บได้ ในรุ่น 16GB และ 32GB จะอยู่ที่ใหญ่สุดไม่เกิน 4GB ครับ แต่หากเป็นรุ่น 64GB ขึ้นไป จะเก็บไฟล์ขนาดใหญ่กว่านั้นได้ โดยมีข้อจำกัดแค่ความจุของตัว Wireless Stick
- แบตเตอรี่ไม่อึดมาก ใช้งานต่อเนื่องสูงสุดได้ไม่เกิน 4-5 ชั่วโมงเอง และกว่าจะชาร์จแบตเต็มก็ต้องเกือบ 2 ชั่วโมง
- ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้พร้อมกันสูงสุดแค่ 3 เครื่อง และที่สำคัญที่สุดคือ ระหว่างใช้งานเสียบกับ USB อยู่ มันจะใช้งานผ่าน WiFi ไม่ได้ครับ
- ไม่มีแอปสำหรับใช้งานผ่าน WiFi สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก
บทสรุปการรีวิว SanDisk Connect Wireless Stick
ในแง่ของคนที่อยากจะพกพาเพลงหรือหนังไปสตรีมมิ่งผ่านเข้าอุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตระหว่างเดินทาง ผมว่าเจ้านี่เป็นคำตอบที่ดีมาก เล็ก เบา พกพาสะดวก ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับพวกฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อแบบไร้สายได้ เพราะความจุไม่ใช่ปัญหา 16GB ก็พกหนังไปได้ 4-10 เรื่องแล้ว และถ้าเป็นเพลงนี่ยิ่งพกได้เยอะกว่านั้น หรือยอมจ่ายแพงขึ้นอีกหน่อยเพื่อได้ความจุเพิ่มขึ้นก็ได้ (128GB ราคา 3,690 บาท ซึ่งก็ยังถูกกว่าฮาร์ดดิสก์ไร้สาย … แต่เทียบความจุแล้วแพงกว่าจม … แต่แลกกับการพกพาสะดวก) หรือจะเอาไว้พกไปเที่ยว เพื่อให้แบ็กอัพรูปภาพและวิดีโอเก็บไว้แบบสะดวกๆ ก็ได้เช่นกัน
ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากได้ความสามารถคล้ายๆ ฮาร์ดดิสก์ไร้สาย แต่ไม่ได้เน้นความจุมากๆ และไม่ต้องการพกอะไรหนักๆ ครับ
ปัจจุบันคุณ kafaak ใช้โทรศัพท์รุ่นไรอยู่บ้างครับ แล้วใช้งานกับ Sandisk wireless stick ตัวนี้สะดวกอยู่ไหมครับ
ปัจจุบันก็ Samsung Galaxy Note 5 เป็นหลักครับ แต่กำลังจะเอา iPhone 7 Plus 128GB มาใช้ด้วย แต่ผมก็ลองกับ ASUS Zenfone 3 Ultra ด้วย (รีวิวมาเร็วๆ นี้) โดยรวม สะดวกครับ แอปทำงานรวดเร็วดี ตอนเชื่อมต่อแรกๆ อาจจะตะกุกตะกักบ้าง แต่ไม่ยุ่งยาก ใจเย็นนิดหน่อยก็โอเคแล้ว มันสะดวกสำหรับคนที่ต้องโอนข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเข้าคอมบ่อยๆ (โดยเฉพาะรูป) หรือ คนที่ชอบดูหนัง ซึ่ง Streaming สะดวกดี
เห็นบอกข้อเสียของตัว 16GB กับ 32GB ว่าเก็บไฟล์ขนาดใหญ่กว่า 4GB ไม่ได้ แสดงว่าหนัง HD ส่วนใหญ่ที่ไฟล์อยู่ที่ขนาด 4-5GB ก็ไม่สามารถเก็บได้ใช่หรือเปล่าครับ
ใช่ครับ … ถ้าว่ากันตามสเปก … แต่ผมก็ยังไม่ได้ลองแบบ Extreme use case นะครับ
wifi ผ่านคอมใช้เบราเซอร์เข้าไปที่ไอพีมันเลยครับ
ขอบคุณครับ คู่มือก็ไม่มี เลยต้องคลำไปเรื่อยๆ … แต่การเข้าผ่านเบราวเซอร์ก็ดูยุ่งยากไปสำหรับผู้ใช้งาน … ไหนๆ ก็ทำแอปให้กับสมาร์ทโฟนแล้ว ก็น่าจะทำโปรแกรมสำหรับคอมฯ ด้วยเลยแท้ๆ
@kafaak
ใช้งานกับ PC ขณะเสียบเจ้าตัวนี้กับport usb , wireless มันก็ยังทำงานอยู่ใช่เปล่าครับ?
(ที่สงสัยคือ มันสามารถรับส่งข้อมูลผ่าน port usb ในเวลาเดียวกันกับที่รับส่งข้อมูลผ่าน wifi หรือไม่น่ะครับ?)
ผมระบุไว้แล้วในเรื่องข้อจำกัดในเนื้อหาบล็อกแล้วนะครับว่ามันไม่สามารถใช้งาน WiFi ได้ เวลาที่เสียบ USB อยู่
สามารถเพิ่มความจุเองได้ไหมค่ะ
ไม่ได้ครับ
วิธีชาร์จแบตต้องทำอย่างไรครับ❓
แค่เสียบ USB ไว้ครับ
Copy file หนัง mkv มาทำไม่มีแต่ภาพเสียงไม่มีครับ
ต้องดูที่ตัวเล่นครับ ว่าเป็นตัวไหน เพราะตัวเล่นบางตัว มันถอดรหัสเสียงไฟล์ MKV ไม่ได้
ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลประมาณเท่าไหร่หรอครับ
มันแตกต่างไปตามอุปกรณ์ที่เราเชื่อมต่อครับ แต่ปกติของผมมันจะอยู่แถวๆ 2-3MB/s